Monday, 21 April 2025
AYA IRRAWADEE

เปิด 2 เรื่องที่น่ากลัวกว่าเกิด ‘แผ่นดินไหว’ ไทย-เมียนมา เฟกนิวส์-มิจฉาชีพระบาด พอๆ กับความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล

เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครประกาศยกเลิกการเป็นเขตธรณีพิบัติภัยแล้วยกเว้นแค่จุดอาคารถล่มเพียงเท่านั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกรณีธรณีพิบัติภัยครั้งนี้ที่เอย่ามองว่า นี่มันช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าแผ่นดินไหว วันนี้เอย่าจะหยิบยกมาให้รู้กัน

1. เฟกนิวส์และมิจฉาชีพที่มาในรูป AI ตามที่เราเห็นตามสื่อสังคมออนไลน์ตอนนี้ที่ยังพบได้คือภาพ VDO เฟกนิวส์ที่อ้างว่าเป็นภาพธรณีพิบัติภัยในเมียนมาและประเทศไทยสร้างภาพความเสียหายที่ดูรุนแรงจนเข้าใจผิด แต่ที่หนักกว่านั้นที่เอย่าพบตอนนี้คือการพบว่ามีการนำวิดีโอที่สร้างจาก AI มาใช้เรียกร้องขอเงินบริจาคของพวกกลุ่มมิจฉาชีพและสแกมเมอร์แล้ว

2. ความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล จากเหตุธรณีพิบัติภัยครั้งนี้เราจะเห็นได้ถึงน้ำใจของเหล่าประเทศที่ส่งทีมกู้ภัยเข้าไปช่วยเมียนมาในวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่ตั้งธงทำร้ายเมียนมามาตลอดอย่างสหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่ตั้งโต๊ะแถลงคว่ำบาตรอย่างเกาหลีใต้ก็ยังบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐช่วยเหตุการณ์นี้ 

และเช่นกัน เราก็ได้เห็นบางประเทศอ้างว่ายกเลิกส่งทีมช่วยเหลือไปเพราะเมียนมาไม่ปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มีประกาศยุติสงครามทั่วประเทศเพราะความเดือดร้อนของประชาชนต้องมาก่อนและดูเหมือนกลุ่มติดอาวุธก็ยอมปฏิบัติตามข้อเสนอนี้เสียด้วย

อย่างไรก็ดีก็มีคนบางกลุ่มและสื่อบางสื่อพยายามอ้างว่าการที่ผู้นำทหารเมียนมาได้เข้าร่วมประชุม BIMSTEC เป็นการที่ไทยฟอกขาวให้เขา ทั้งที่อีกมุมที่หลายคนไม่รู้คือ หลังเหตุการณ์รัฐประหารไทยแทบจะปิดประตูความช่วยเหลือให้แก่เมียนมา 

ยังไม่พอ ไทยคือฐานนอกประเทศของกลุ่มก่อความไม่สงบไม่เมียนมา อีกทั้งการที่เมียนมาเริ่มตีตัวออกห่างจากไทย นั่นก็เพราะหลายครั้งที่ไทยละเลยคำขอของเพื่อนบ้าน หลายคนคงไม่ทราบว่า ทางการไทยพยายามร้องขอการปล่อยตัวของลูกเรือ 4 คนมาตลอด จนล่าสุดที่ ‘ลุงป้อม’ ไปขอผ่านเจ้ายอดศึกให้คุยกับนายพล มินอ่องหล่ายให้ เขาก็ยอมปล่อยตัวออกมา ทางรัฐบาลเมียนมาขอน้ำมันวันละ 5,000 ลิตรเพื่อมาใช้ปั่นไฟในโรงพยาบาลในเมืองเมียวดี เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากกลุ่มจีนเทา ไทยกลับเพิกเฉย 

ดังนั้นเอย่าถามว่าการประชุม BIMSTEC ครั้งนี้เป็นการฟอกขาวหรือการกลับมาสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอีกครั้งกันแน่

กลุ่มผู้อพยพผิดกฎหมายในไทยพยายามอ้างตลอดว่า เขาหนีเข้าไทยเพราะรัฐประหารในเมียนมา แต่ทุกคนควรทราบก่อนว่า เหตุผลใหญ่ในตอนนั้นที่กองทัพต้องทำรัฐประหารนอกจากเรื่องการตรวจสอบการเลือกตั้งไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องการยกหมู่เกาะโคโต่ให้เป็นฐานนอกประเทศของอเมริกาด้วย ซึ่งนั่นหากมีการเกิดสงครามจริง อเมริกาสามารถยิงขีปนาวุธเข้ามาที่เมืองย่างกุ้งหรือเนปิดอว์ได้เลย โดยใช้หมู่เกาะโคโต่เป็นฐาน

และการที่ประชาชนในประเทศเขาหนีส่วนใหญ่ เพราะไปเชื่อตามข่าวลือของกลุ่มต่อต้านที่ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังและอีกส่วนคือหนีสงครามที่เริ่มต้นโดยกลุ่มชาติพันธุ์นั่นเอง 

ส่วนในไทยสิ่งที่น่ากลัวคือการที่คนไทยผู้มีอำนาจเพิกเฉยและให้คนเหล่านี้เข้ามามีสิทธิ์มีเสียงในสังคมต่างหาก นั่นแหละที่เรียกว่าฟอกขาวที่แท้จริง

‘แผ่นดินไหว’ รุนแรงในเมียนมา สะเทือนหนักถึง ‘ไทย’ หลายพื้นที่ ‘สามนิ้วเมียนมา’ ฉวยโอกาสกุข่าว ‘กองทัพเมียนมา’ ทดลองอาวุธนิวเคลียร์

กลายเป็นเหตุการณ์ที่ช็อกคนไทยอย่างมาก โดนเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ต้องพบกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้

โดยต้นเหตุแผ่นดินไหวอยู่บริเวณเมืองมัณฑะเลย์และเมืองสะกายในเมียนมาห่างจาก อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ไป 326 กิโลเมตร โดยความแรงที่จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวในเมียนมามีความแรงถึง 8.2 ริกเตอร์ ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนในเมืองมัณฑะเลย์และสะกายได้รับความเสียหาย รวมถึงผู้คนตกอยู่ในความหวาดหวั่น รวมถึงสะพานข้ามแม่น้ำระหว่างเมืองมัณฑะเลย์และสะกายก็ถล่มจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย

ตัดภาพกลับมาที่ประเทศไทย ตัวเอย่าเองก็เป็น 1 ในผู้ประสบเหตุในครั้งนี้เช่นกัน จึงขอเล่าให้ฟัง…

หลังเกิดเหตุ 30 นาทีแรก เอย่ารู้สึกว่า ระบบโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตเหมือนจะล่ม อาจจะเป็นเพราะทุกคนใช้โทรศัพท์ จากนั้นตามมาด้วยรถติดบนถนนอย่างกับศุกร์ปลายเดือนวันฝนตกอย่างไรอย่างนั้น รถติดชนิดที่ว่า ‘ทุกเส้นทางขนาด’ เส้นที่ไม่เคยรถติด ก็ยังติด

แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นคือทำไมประชาชนต้องต่อว่ารัฐบาลก่อนแทนที่จะต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน ซึ่งก่อนอื่นต้องเข้าใจว่านี่คือ ‘พิบัติภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี’ ซึ่งเอย่าแน่ใจว่าจากนี้ประเทศไทยจะมีแผนรับมือเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์สึนามิถล่ม

แต่ในเหตุการณ์ร้ายนี้ก็มีเรื่องตลก เมื่อมีข่าวหลุดออกมาตามโซเชียลมีเดียของกลุ่มสามนิ้วในพม่าว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกองทัพเมียนมาและมินอ่องหล่าย ใช้เมียนมาเป็นสถานที่ทดสอบขีปนาวุธนิวเคลียร์ แถมเรื่องนี้กลายเป็น ‘Talk of the town’ ในกลุ่มพม่าสามนิ้วในไทยเสียด้วย ก็ไม่รู้สิว่าเอย่าจะพูดอะไรดี คงพูดได้แค่ว่า “เบิ่ดคำสิเว้า”

เอย่าก็หวังให้เสพสื่ออย่าง ‘มีสติ’ นะคะ ไม่ใช่ใช้ ‘อคติ’ บังตา ไม่ว่าจะคนไทยหรือคนพม่า ในครั้งนี้ทุกคนคือผู้ประสบเหตุด้วยกันทุกคนทั้งนั้น

‘ศาลอาญาระหว่างประเทศ’ ตั้งขึ้นเพื่อ!! จัดการคนไม่ดี หรือ!! จัดการ ‘คนที่เป็นปรปักษ์กับชาติตะวันตก’ กันแน่

ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ International Criminal Court ที่เรารู้จักกันในชื่อย่อว่า ICC นั้น  มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งหากใครไปพิจารณาถึงรายชื่อผู้ที่เป็นอาชญากรในลิสต์ของ ICC จะเห็นบางสิ่งที่ตรงกันคือเกือบทั้งหมดนั้นคือ กลุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับชาติตะวันตกยกตัวอย่างเคสแรกก็คือ Joseph Kony

นายโจเซฟ โคนี คนนี้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม Lord's Resistance Army เรียกสั้นๆ ว่า LRA เป็นกลุ่มกองโจรที่ทางตะวันตกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในอูกานดา โคนีถูกกล่าวหาว่าจับเด็กผู้ชายมาเป็นทหาร จับเด็กผู้หญิงมาเป็นทาสบำเรอกาม จนถูกศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับ อีกทั้งในชาติตะวันตกมีการทำแคมเปญรณรงค์ในชื่อ Invisible children ในปี 2012 และมีการส่งทหารเข้าไปที่แอฟริกาเพื่อไล่ลาโคนี   แต่ที่แปลกคือ ในปี 2015 มือขวา ของโคนี ก็มามอบตัว ทำให้กองกำลังของโคนีระส่ำระสายมากๆ ซึ่งมือขวาผู้มอบตัวก็เผยว่า จริงๆ ในตอนนั้น ผู้ภักดีกับโคนีใน LRA ก็เหลือน้อยแล้วเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายชะตากรรมของมือขวาของโคนีก็ถูกศาลโลกตัดสินคดีว่ามีความผิดไปหลายสิบกระทง (แปลกไหม….อยู่ดีๆ มาให้จับเพื่อเข้าคุก) สุดท้ายในปี 2017 ทั้งทางรัฐบาลอูกันดาและสหรัฐอเมริกาก็ประกาศร่วมกันว่าจะยกเลิกการไล่ล่า โจเซฟ โคนี เพราะตอนนั้นเขาประเมินว่ากองกำลังที่เคยยิ่งใหญ่ระดับกำลังพล 3,000 นาย หดเหลือแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงต่อไปและปัจจุบันมีรายงานว่า โจเซฟ โคนี สุขภาพไม่สู้ดีและกบดานอยู่ที่เมืองนาโซกา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ประเด็นคือถึงเขาไม่เป็นภัยต่ออูกานดาแล้วทำไมเขาไม่เป็นภัยต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เขาจึงสามารถที่จะอยู่ได้โดยปลอดภัยแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม  หรือความจริงแล้วคือในขณะนั้นอูกานดามีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับสหรัฐฯแล้ว นายโจเซฟ โคนีก็คือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอูกานดาในขณะนั้น ดังนั้นจึงมีการจัดฉากให้นายโคนี คนนี้เป็นผู้ก่อการร้ายเสียเพื่อจะได้เอากองกำลังต่างชาติเข้ามาจัดการได้

ว่าแล้วเรื่องจับเด็กไปเป็นทหารก็มีเรื่องน่าแปลกนะคะ เพราะในเมียนมาเองก่อนที่จะมีข่าวการเกณฑ์ทหารของหนุ่มสาวชาวเมียนมาก็มีข่าวมาตลอดว่ากองกำลังชาติพันธุ์ออกมาจับเด็กชายเอาไปฝึกเป็นทหารของตน โดยภาพที่ออกมามีทั้งกองกำลังที่อยู่ติดชายแดนไทยและกองกำลังที่ติดชายแดนจีน แต่ที่น่าแปลกคือว่าทำไม ICC ไม่มาออกหมายจับผู้นำเหล่านี้บ้าง

หากดูในลิสต์ต่อๆ มาจะพบว่าทุกคนในหมายจับของ ICC คือกลุ่มคนที่เป็นปรปักษ์กับชาติตะวันตกหรือปรปักษ์กับพันธมิตรของตะวันตกทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของปูตินในรัสเซีย ที่โดนหมายจับตั้งแต่ที่ 2023-24 หรือกลุ่มกบฏลิเบียรวมถึงล่าสุดคืออดีตประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เต ที่ถูกรวบตัวที่สนามบินในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ ในข้อหาฆ่าผู้บริสุทธิ์จากการทำสงครามยาเสพติดจนทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจำนวนมาก น่าประหลาดนะคะที่ประเทศไทย คนที่ออกนโยบายทำสงครามยาเสพติดในประเทศไทย  ในปัจจุบันนี้ยังลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตสุขสบายไม่เห็นโดนคดีเหมือนดูแตร์เต้ เอย่าเลยไปขุดค้นหาข้อมูลและพบว่า การที่ดูแตร์เต้ถูกจับเพราะส่วนหนึ่งคือการดำเนินนโยบายที่เป็นกลางไม่เอียงข้างไปยังฝั่งอเมริกา  ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าคดีนี้เป็นการเช็คบิลของอเมริกาโดยใช้อำนาจของประธานาธิบดีมาร์กอสคนลูกที่ตอนนี้เป็นหมาน้อยของอเมริกาไปแล้ว

มาถึงฝั่งเมียนมาอีกครั้งถามว่าทำไม มิน อ่อง หล่าย ถึงไม่เป็นผู้โดนหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศในคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาละ เรื่องนี้มีที่มาที่ไปง่ายมาก กล่าวคือ ในปี 2017 เมื่อเกิดวิกฤตการณ์โรฮิงญาครั้งใหญ่ ภายหลังกองกำลังติดอาวุธโรฮิงญา ในนาม ARSA (Arakan Rohingya Salvation Army) เข้าโจมตีฐานที่มั่นของตำรวจในรัฐอาระกัน จนเป็นเหตุให้มีตำรวจเสียชีวิต 12 นาย เป็นผลให้กองทัพเมียนมาเปิดฉากโจมตีเขตของชาวโรฮิงญาในรัฐอาระกันตอนเหนือ ตอบโต้กองกำลังก่อการร้ายดังกล่าว  และเช่นเดียวกับโจรใต้โมเดล เมื่อกองกำลังกองการร้ายสู้ไม่ได้ก็ใช้วิธีหนีเข้าไปแอบในชุมชน ดังจะเห็นได้ชัดภายหลังที่มีกลุ่ม PDF ซึ่งก็ใช้วิธีเดียวกันหากสู้กองทัพเมียนมาไม่ได้  แต่กองทัพเมียนมากลับเลือกที่จะเผาชุมชนนั้นเสียเพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านในพื้นที่ และเช่นกัน ณ เวลานั้น นาง อองซาน ซูจีและพรรค NLD ที่ตอนนั้นเป็นแขนขาให้กับฝ่ายประเทศตะวันตกในเมียนมามีอำนาจ และนั่นทำให้หากจะต้องฟ้อง มิน อ่อง หล่ายในฐานะอาชญากรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็จะต้องมีชื่อของประธานาธิบดีและนางซูจีติดเข้าไปด้วยอย่างแน่นอน ที่นี่น่าจะเป็นสาเหตุว่าทำไม มิน อ่อง หล่ายไม่โดนหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศนั่นเอง

มาถึงจุดนี้สรุปศาลนี้มีไว้เพื่อจัดการคนไม่ดี หรือ จัดการคนที่เป็นปรปักษ์กับชาติตะวันตกกันแน่….

ถอดรหัส ทำไมเกาหลีใต้ยกเมือง Yeongyang ให้คนพม่าตั้งถิ่นฐาน คาดหวังให้ช่วยเพิ่มประชากร - พัฒนาเมืองสุดกันดารที่คนเกาหลีไม่อยากอยู่

(17 มี.ค. 68) ในขณะนี้ที่ไทยประชาชนไทยส่วนหนึ่งได้ตื่นตัวเพราะการที่คนต่างด้าวเข้ามาแย่งงาน แย่งอาชีพ แย่งใช้สวัสดิการของคนไทย จนแทบจะเรียกได้ว่า คนพม่าเหล่านั้นเข้ามาสร้างปัญหา จนทำให้คนพม่าที่เข้ามาประเทศไทยอย่างถูกต้องประกอบอาชีพอย่างสุจริตต้องมาตกที่นั่งลำบากไปด้วย  แต่ไม่นานมานี้ก็มีข่าวดังไปทั่วฌลกเมื่อเกาหลีใต้ประกาศว่าจะให้ชาวเมียนมาหรือคนพม่าอพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองยองยาง (Yeongyang-gun)  โดยข่าวดังกล่าวมาจากรายงานของเวปไซต์ สำนักข่าว  เดอะ โคเรีย ฮอรัลด์ อ้างว่า ส่วนบริหารท้องถิ่นของเมืองยองยางมีการหารือกับกระทรวงยุติธรรมของเกาหลีเพื่อเอาผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา 40 คน ที่ได้รับการคุ้มครองจาก UN มาอยู่ที่นี่เพื่อจุดหมายในการเพิ่มประชากร

แต่เดี๋ยวมาถึงจุดนี้  เรามาหาข้อมูลเมืองยองยางกันก่อนดีกว่า

มีการระบุว่า เมืองยองยางนี้  เป็นพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงได้ยาก โดยเมืองนี้ มักถูกเรียกว่า "เกาะในแผ่นดิน" เขตนี้มีประชากรน้อยที่สุดในบรรดาเขตทั้งหมดในจังหวัดจองซังเหนือ หากไม่รวมเขตอุลลึง เนื่องจากเป็นภูมิประเทศเป็นภูเขาที่มีหุบเขาลึก และพื้นที่เพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่สามารถทำการเกษตรได้ 

มาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะถึงบางอ้อแล้วว่าการเดินทางไปเมืองนี้ยากลำยากเพียงใด และแน่นอนน่าจะรวมถึงความเจริญที่จะคืบคลานเข้าไปที่นี่ก็น่าจะลำบากเป็นเงาตามตัว

หากเอย่าเดาไม่ผิด ก็คือคงใช้คนพวกนี้มาพัฒนาแผ่นดินที่แม้แต่คนเกาหลีเองก็ทำไม่ได้ โดยอาจจะให้สนับสนุนเงินทุนหรือเครื่องมือบางส่วน เอาตรงๆว่าถ้าสำเร็จก็ดีไป ก็ค่อยเอาคนเกาหลีไปอยู่ แต่หากไม่สำเร็จก็แค่เหมือนคุกไฮโซของพวกลี้ภัยวีไอพีของพม่า

หันกลับมาดูผู้อพยพชาวเมียนมาที่ได้รับการคุ้มครองจากสหประชาชาตินั้นส่วนใหญ่คือนักการเมืองฝั่ง NLD นายทุนที่จัดหาเงินทุนให้ฝ่ายต่อต้านหรือไม่ก็เป็นพวกกระบอกเสียง ระดมทุน พวกนี้โปรไฟล์ไม่ธรรมดานะ  หลายคนจบจากต่างประเทศที่บ้านมีเงิน  ไม่ใช่ผู้อพยพกะเหรี่ยงชายแดนไทย ที่กินง่ายอยู่ง่าย อยู่สบายแพร่พันธุ์อย่างเดียว  บางทีเอย่าก็อยากจะบอกไปถึงทางเกาหลีใต้ว่าดูถูกชาวเมียนมาระดับหัวกะทิไปหรือเปล่า

ที่สำคัญภูมิอากาศที่เกาหลีไม่เหมือนไทยนะ  อย่างตอนที่เอย่าเขียนบทความนี้อยู่ที่เมืองยองยางอุณหภูมิสูงสุด 4 องศาต่ำสุด -4 องศา  หนาวขนาดนี้คนเกาหลียังแทบไม่อยู่กันเลย คิดยังไงถึงให้คนเมียนมาที่มาจากเขตร้อนไปอยู่

คิดไปละก็สงสาร สมัยสงครามเกาหลี เอย่าจำได้ว่า พม่าในขณะนั้นส่งข้าวจำนวนหลายตันมาให้คนเกาหลีที่อดอยากเพื่อจะได้มีแรงสร้างชาติ  พอมาดูวันนี้กับความคิดคนเกาหลีใต้ที่ตอบแทนน้ำใจคนพม่าในอดีต เอย่าก็ไม่อยากจะพูดว่า เหมือนหลอกเขามาตายชัดๆ 

เปิดปมส่ง 40 อุยกูร์ กลับมาตุภูมิ ชี้! เรื่องนี้มีเบื้องลึก เผยคนหนุ่มบางส่วนในกลุ่มนี้ เตรียมถูกฝึกเป็น ‘นักรบพลีชีพ’

ไม่นานมานี้มีข่าวที่ทางการไทยส่งนักโทษอุยกูร์กลับประเทศจีนตามหน้าสื่อที่ว่าทางการไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนที่ถูกคุมขังในไทยตั้งแต่ปี 2557 กลับสู่ประเทศจีน  ท่ามกลางเสียงก่นด่าจากประเทศตะวันตก จนคนไทยหลายคนด่าว่ารัฐบาลไทยเลว เอาใจจีนจนเอาชีวิตคนไปแลก เอาเป็นว่าวันนี้ลองเปิดใจมารับรู้ข้อมูลอีกด้านกันดูดีกว่าไหม  แล้วค่อยมาสรุปว่ารัฐบาลไทยเราเลวดังที่ใครๆ เขาว่าหรือไม่

ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักองค์ก่อนหนึ่งก่อน นั่นคือ ขบวนการอิสลามเตอร์กิชสถานตะวันออก หรือ ETIM ขบวนการนี้มีการจัดตั้งกันมาตั้งแต่ปี 2476 เพื่อต่อสู้ให้เมืองซินเจียงที่เป็นเมืองหลักของชาวอุยกูร์เป็นรัฐอิสลามเพราะประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม

แต่ทว่าแท้จริงแล้วในซินเจียงยังมีชนชาติอื่นร่วมด้วยทั้ง ทั้งชาวฮั่น, ชาวคีร์กีช, ชาวมองโกล, ชาวหุย, ชาวคาซัค และชาติพันธุ์อื่นๆอีกกว่า 50 ชาติพันธุ์เพราะเหตุที่ว่าซินเจียงนี้เคยเป็นเส้นทางสายไหมทางบกในอดีตนั่นเอง นั่นทำให้จีนเลือกที่จะยกซินเจียงให้เป็นเขตปกครองตนเองของจีน เช่นเดียวกับทิเบต และนี่เองที่เป็นชนวนเหตุความขัดแย้งในพื้นที่

จนกระทั่งในปี 2511 มีการจัดตั้ง พรรคปฏิวัติประชาชนแห่งเตอร์กีชสถานตะวันออก ขึ้นโดยมีสาขาในเมืองอุรุมูฉี และเมืองคาชการ์ มีกองกำลังติดอาวุธเพื่อก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน โดยอ้างตาม ETIM ในปลุกระดมผู้คนให้ก่อการครั้งนี้ว่า นี่คือ 'ญิฮาด' หรือ สงครามศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะสร้างแผ่นดินเสรีของเรา แม้ตามรายงานบอกว่าพรรคนี้สลายตัวไปตั้งแต่ปี 2532 แต่ยังมีผู้นำอยู่และแยกเป็นกลุ่มก่อการร้ายย่อย ๆ ภายใต้เงินทุนของชาติตะวันตก

มาถึงจุดนี้อ่านแล้วคุ้นๆ...ชาติพันธุ์ฝั่ง 45 น. ของไทยไหม

ณ เวลานั้นมีรายงานว่ามีการปลุกระดมเอาคนหนุ่มไปฝึกเป็น “นักรบพลีชีพ” เพื่อมาต่อสู้กับกองทัพจีน ซึ่งจะเห็นว่ามีเหตุการณ์ก่อการร้ายหลายครั้งที่เกิดขึ้น โดยแหล่งข่าวได้เล่าให้เอย่าฟังว่า นักรบเหล่านี้จะต้องเดินทางไปฝึกการรบดังกล่าวที่ประเทศหนึ่งที่อยู่ระหว่าง 2 ทวีป โดยใช้งบของประเทศที่ให้การสนับสนุนโจรใต้บ้านเรานั่นแหละ

แต่เหตุการณ์ดันโป๊ะตรงที่รัฐบาลจีนรู้ถึงการเดินทางของคนกลุ่มนี้และชี้เป้าให้ทางการไทยจับตัวไว้เมื่อปี 2557 โดยขณะนั้นทางการไทยเพียงตั้งข้อหาชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ว่า เข้าเมืองผิดกฎหมาย

แม้จะไม่มีรายงานว่าชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ถูกจับเดือนไหนแต่ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นอยู่ในสายตาของนายกที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านก็น่าจะทราบดีว่าคนเหล่านี้คือใครเพราะเวลานั้นไทยสนิทกับจีนมาก ในปี 2557 นั่นเอง จีนมีการตัดสินประหารชีวิตชาวอุยกูร์ที่ก่อเหตุระเบิดพลีชีพที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนฮั่นและชาติพันธุ์ในซินเจียงโดยเฉพาะชาวอุยกูร์เป็นอย่างมาก

ถามว่าถ้าลุงตู่ส่งชาวอุยกูร์กลับจีนตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น....

ใช่แล้ว..ไทยเลือกจะไม่ส่งกลับแต่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนเข้ามาปรับทัศนคติและแก้ปัญหาในบ้านของเขาให้เรียบร้อย

วันนี้เป็นเวลาเกือบ 11 ปี อุยกูร์เป็นมณฑลที่ติดอันดับที่ 23 จาก 31 มณฑลของจีน และถ้าคิดเฉลี่ยเป็น GDP ต่อประชากร ซินเจียงเปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตารวมถึงความอยู่ดีกินดีของประชากร  จีนสนับสนุนการศึกษาให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้เรียนรู้ทั้งภาษาจีนกลางและภาษาถิ่นรวมถึงทำนุบำรุงศาสนสถานทุกศาสนาในเมือง ส่วนหนึ่งเพื่อให้เหล่าชาติพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งคือความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมประจำถิ่น ซินเจียงเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความแปลกใหม่ในการท่องเที่ยวในประเทศจีน

สุดท้ายกลับมาที่นักโทษทั้ง 40 คนในคุกไทย ที่ตลอดเวลาร่วม 10 ปีได้รับการปรับทัศนคติจนเชื่อได้ว่าทั้งหมดอยากกลับไปหาญาติหาคนที่รักของเขาแล้ว และเชื่อได้ว่าตลอด 11 ปีมานี้ทางการจีนได้พัฒนาให้ชาวเมืองซินเจียงกลายเป็นคนที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก จนต้องมาตั้งคำถามว่า ทำไมต้องไปสร้างแผ่นดินในอุดมคติอีก ในเมื่อกลับไปพบกับครอบครัวที่อยู่ดีกินดีแล้ว...

คำถามก็คือ คำที่ชาติตะวันตกกล่าวหาไทยต่างๆ นานา นั้น ทำไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ต้องการสร้างภาพให้จีนเป็นตัวร้าย แต่อย่างที่หลายคนกล่าว บางทีผู้นำประเทศเหล่านั้นก็ติดภาพฮอลลีวูดมาไปจนลืมว่าคนมีสติปัญญาเขาคิดได้ว่าถ้าทางการไทยอยากให้ชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ตายจริงคงไม่ปล่อยให้เปลืองข้าวไทยมาเป็น 10 ปีหรอก

มันจบแล้วกี้ บทเรียนของ ‘ขี้ข้า’ ประเทศมหาอำนาจ หลัง ‘เซเลนสกี’ ถูกถีบออกมาจาก ‘ห้องทำงานรูปไข่’

เป็นมีมไปทั่วโลกหลังที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกประธานาธิบดีของยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกีไปหารือแต่สุดท้ายกลายเป็นภาพที่เซเลนสกีถูกถีบออกมาจากห้องทำงานรูปไข่ นั่นทำให้ประเทศอื่นๆที่ยืนเคียงข้างยูเครนอย่างยุโรปสั่นคลอน เพราะหากมองกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของสงครามคือการที่ยูเครนต้องการจะเข้านาโต้ โดยการสนับสนุนจากชาติสมาชิกนาโต้โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในเวลานั้น

ย้อนกลับไปในการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO (North Atlantic Treaty Organization) ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-11กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการประกาศถึงกร้าวในที่ประชุม NATO ระบุข้อความชัดเจนในปฏิญญาวอชิงตันว่า “พันธมิตร NATO จะยับยั้งและป้องกันภัยคุกคามทางอากาศและขีปนาวุธทั้งหมดด้วยการปรับปรุงการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธแบบผสมผสาน” และยืนยันว่า “NATO ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อรับประกันความน่าเชื่อถือ ความมีประสิทธิผล ความปลอดภัย และความมั่นคงของภารกิจป้องปรามด้วยนิวเคลียร์” โดยขณะนั้นพี่ใหญ่ของนาโต้คือ สหรัฐอเมริกา นั่นเอง

คำถามคือเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน นโยบายระดับชาติเปลี่ยนได้หรือ….?

ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าชาติสมาชิกนาโต้ในยุโรปต้องไขว้เขวเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นมาและประกาศกร้าวว่าจะเป็นคนกลางเพื่อจบปัญหาสงครามยูเครน จุดนี้นี่แหละที่ทำให้การสนทนา 10 นาทีสุดท้ายเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนและสหรัฐจาก ดีล เป็น โดดเดี่ยว  หากมองว่ามาถึงวันนี้ที่ยูเครนเข้าประเทศชาติ และพลเรือนมาเป็นตัวแปรในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แถมยังมาขอเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่วันนั้นสัญญาว่าจะให้เองตามที่ปรากฏในหน้าสื่อ ทำให้เซเลนสกี ถึงเลือกที่จะพูดว่าก็ใช่ไงสงครามมันไม่ได้เกิดที่หน้าบ้านคุณนี่ และคำนี้นี่แหละที่ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์สติหลุด

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์มา อเมริกาก็ซ่อนตัวอยู่หลังสงครามมาตลอด แม้ฝ่ายตนจะบอบช้ำจากการทำสงครามแต่หากเทียบกับคนในประเทศที่อเมริกาไปทำสงครามนั้น เทียบความสูญเสียกันไม่ได้เลยแถมการทำสงครามที่ผ่านมาหลายครั้งอเมริกาเลือกจะใช้วิธีการใช้ตัวแทนในการทำสงครามไม่ว่าจะในยูเครน ตะวันออกกลางหรือแม้กระทั่งใกล้บ้านเราอย่างผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้หรือข้างบ้านเราอย่างสงครามระหว่างกองทัพกะเหรี่ยงและกองทัพเมียนมา  หลายครั้งจะเห็นได้ว่าการที่ฝ่ายต่อต้านมีอาวุธที่ทันสมัยขนาดกองทัพเมียนมายังไม่มีนั่นคงไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆกองกำลังเหล่านี้จะสามารถผลิตมันขึ้นมาเองได้หากไม่ได้มีเงินทุนจัดหาและสนับนุน

จากที่มีรายการรายงานเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า มีการตรวจพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม NGO สัญชาติอเมริกันและ USAIDS ให้การสนับสนุนทั้งด้านเงินทุนและยุทโธปกรณ์ให้กับเครือข่ายกบฏในพื้นที่ โดยหลักฐานที่พบประกอบด้วยเอกสารการโอนเงิน จากเครือข่าย NGO และ USAIDS ไปยังบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มกบฏ  อาวุธและอุปกรณ์สื่อสาร บางส่วนที่ตรวจพบมีเครื่องหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ NGO ต่างชาติ  รวมถึงข้อมูลปฏิบัติการลับ ที่บ่งชี้ว่าเงินทุนที่ได้รับจากองค์กรเหล่านี้ ถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย  นั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรเหล่านี้เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งลับของสหรัฐฯนั่นเอง  เช่นกันในฝั่งเมียนมาก็มีรายงานว่าองค์กร NGO อย่าง Free Burma Ranger ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่รับเงินทุนจาก NGO เหล่านี้ด้วยเช่นกันในการสนับสนุนสงครามให้แก่กองกำลังกะเหรี่ยงที่ทำสงครามกับกองทัพเมียนมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทรัมป์มองออกว่าการที่เขาจ่ายเงินไปในสงครามแบบนี้มันคือการจ่ายเงินไปให้คนอื่นใช้แต่ผลที่ได้ในแต่ละที่ไม่ได้เกิดประโยชน์กับสหรัฐฯอย่างเป็นรูปธรรมเลย หากสหรัฐฯจะมองใหม่ว่าเข้าไปขอคืนดีกับผู้นำกองทัพเมียนมาและช่วยเมียนมาแก้ปัญหาภายในประเทศนั่นอาจจะทำให้เมียนมามีทางเลือกที่จะไม่ไปคบค้ากับจีนและรัสเซียมากไปกว่านี้  ซึ่งน่าจะเป็นการหยุดการแผ่ขยายอำนาจของจีนและรัสเซียในภูมิภาคนี้ได้ด้วย

สุดท้ายเอย่าก็หวังแค่ว่ากลุ่มกองกำลังทั้งหลายคงได้ตระหนักถึงสิ่งที่สหรัฐฯ กระทำกับยูเครน  หากกองกำลังเหล่านั้นคิดแค่เพียงว่า “สู้แล้วรวย” คนซวยคือชาวบ้านที่เป็นกองเชียร์ต่อไป แต่หากคิดได้ว่าที่เขาให้มาไม่มีอะไรฟรี  หากคิดถึงคนของตัวเองในวันที่สหรัฐฯจะมาขอค่าอาวุธคืนโดยจ่ายเป็นทรัพยากรที่คุณมี  คุณจะยอมไหม  อย่างน้อยวันนี้กี้ก็เห็นธาตุแท้ของอเมริกาแล้ว

‘ยิว’ เข้ายึด!! ‘ปาย’ เพราะ ‘ไกลปืนเที่ยง - ค่าครองชีพถูก’ ปลอดผู้มีอิทธิพล!! เจรจาง่าย ถ้าได้ผลประโยชน์ที่ลงตัว

(24 ก.พ. 68) เมื่อเอย่าไปหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพวกยิวที่เข้ามายึดเมืองปายในบทความที่แล้วก็ทำให้เอย่าได้พบกับเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่อง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมชาวยิวถึงเลือกจะมาสร้างชุมชนที่เมืองปาย ซึ่งหลายเหตุผลที่เอย่าได้มาเป็นอะไรที่น่าสนใจมากจนเอย่าต้องมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกัน

ประการแรกคือ  ปายเป็นเมืองไกลปืนเที่ยง แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบไปกลับเพราะความเจริญในปายยังมีน้อยหากเทียบกับเชียงใหม่หรือเชียงราย  อีกทั้งหน่วยราชการเป็นหน่วยเล็กๆสามารถใช้เงินเพื่ออำนวยความสะดวกได้ไม่ยากและคงไม่มีใครมาตรวจสอบ

ประการที่สอง คนที่อยู่ปายจริงๆจะเป็นคนที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย  และสามารถเจรจาได้ง่ายหากมีผลประโยชน์ลงตัว

ประการที่ 3 ปายมีศาสนาหลักคือพุทธ แม้จะมีชุมชนมุสลิมอยู่แต่ก็เป็นชุมชนเล็กๆที่รักสงบ

ประการที่ 4 ค่าครองชีพในปายถือว่าถูกมากๆหากเทียบกับเมืองที่มีชาวต่างชาติเข้าไปตั้งรกรากเพื่อทำธุรกิจ

ประการที่ 5 ปายเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่ยังขาดแคลนหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นส่วนที่ชาวต่างชาติต้องการและนั่นเองคือสิ่งที่ชาวยิวมองเห็น

ประการที่ 6 ปายยังเป็นดินแดนปลอดผู้มีอิทธิพลและต่อให้มีผู้มีอิทธิพลก็มีจำนวนน้อย ซึ่งชาวยิวส่วนใหญ่มีเงินสามารถซื้อคนเหล่านี้ได้ ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากให้แก่ผู้มีอิทธิพลหลายคน หลายส่วนหากเทียบกับในเมืองใหญ่

เหตุผลที่กล่าวมา 6 ข้อนี้เป็นอะไรที่น่าคิดเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องขอบคุณที่ปายมีชุมชนที่แข็งแกร่งผลักดันให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ อีกทั้งชาวยิวเหล่านี้ไม่มีกลุ่มการเมืองหนุนหลังในไทยที่ส่งผลให้การจัดการยุ่งยากมากขึ้น ก็หวังว่าปัญหาชาวยิวยึดเมืองปายนี้จะถูกแก้ไขได้ในเร็ววัน

เจาะ 3 วิธีแนวทาง ‘กลืนชาติ’ ของต่างด้าวในไทย ใช้เวลาบ่มเพาะ นานนับสิบปี รุกพื้นที่!! สร้างสังคมชนชาติ ขึ้นมาในชุมชน ใช้ความเหมือนทางวัฒนธรรม

ช่วงนี้กระแสต่างด้าวเข้ามากลืนชาติ แย่งธุรกิจคนไทยได้ลุกลามบานปลายนอกจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงมาสู่แนวทางอื่น ๆ แล้ว วันนี้เอย่าขอเสนอวิธีกลืนชาติของต่างด้าวแบบต่าง ๆ มาให้อ่านกัน

วิธีที่ 1 รุกพื้นที่ขยายเผ่าพันธุ์ วิธีนี้เป็นวิธีที่ประเทศรอบบ้านเราใช้โดยการเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย จับจองพื้นที่ และออกลูกหลานจากนั้นให้ลูกหลานพยายามได้สัญชาติไทย หรืออย่างน้อยก็ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้บัตรประชาชนไทยมา ซึ่งล่าสุดเอย่าได้ข่าวว่าราคาซื้อขายบัตรประชาชนแถว อ. พบพระและ อ. ท่าสองอย่างราคาดีดขึ้นจากเดิมที่เคยมีกลุ่ม CDM และ PDF หนีเข้ามาไทย หลังจีนเทาถูกปราบปรามอย่างหนักทำให้ทั้งจีนเทาและพม่าเทาหนีมาเอาบัตรไทยแลนด์เป็นอันมาก

วิธีที่ 2 สร้างสังคมของชนชาติขึ้นมาในชุมชน ดังที่เกิดขึ้นกับชาวยิวใน อ. ปาย หรือกลุ่มจีนเทาในเมืองใหญ่ โดยกลุ่มนี้มีเงินจะเอาเงินจ้างนอมินีแล้วใช้นอมินีมาซื้อทรัพย์สินและเริ่มการลงทุนจากนั้นก็จะหาวิธีติดสินบนรัฐเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทยอีกที หรือเพื่อจุดประสงค์คืออยู่ไทยได้นานขึ้น

วิธีที่ 3 คือใช้ที่วิธีกล่อมโดยใช้ความเหมือนทางภาษา วัฒนธรรมและศาสนามาเป็นตัวทำให้ชุมชนยอมรับและช่วยผลักดันคนกลุ่มนี้ให้เป็นคนไทยดังเช่นที่เกิดในหมู่บ้านตามชายแดนกัมพูชา หรือเพื่อจะดึงคนไทยให้ออกห่างเพื่อตั้งรัฐอิสระดังเช่นที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ตอนนี้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนใช้เวลาบ่มเพาะนานนับสิบปีแต่แม้จะใช้เวลานานคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีจิตสำนึกของความเป็นไทย เพียงแต่เขาต้องการใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นพลเมืองไทยเท่านั้น

เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแต่เป็นปัญหาที่ลุกลามไปทั่วโลกจน ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์จับจุดนี้มาหาเสียงและยกประเด็น American First มาเป็นจุดที่สร้างคะแนนเสียงให้เขา ประเด็นคือเราคนไทยจะให้คนกลุ่มนี้เข้ามาใช้สิทธิประโยชน์หรือเราควรจะมาปกป้องสิทธิของคนไทยเราบ้างหรือยัง

‘ชาวเมียวดี’ ชุมนุมต่อต้านไทย!! หลังมาตรการ ‘ตัดไฟ-ตัดน้ำมัน’ เตรียมรับมือปัญหาต่อไป ‘การลักลอบเข้าเมือง-การค้า-สาธารณสุข’

ตามที่รัฐบาลไทยใช้ปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยการเน้นไปที่การตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเทอร์เนตนั้น เอย่ากล่าวแล้วในบทความก่อนว่าการตัดไฟนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่กลุ่มสแกมเมอร์เลย เพราะพวกนั้นไม่ได้ซื้อขายผ่านระบบที่ถูกต้องอยู่แล้วทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้านที่เมียวดีและชาวบ้านริมชายแดนที่ได้รับอานิสงส์จากการซื้อขายไฟต่างหากเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

และนั่นก็ทำให้เหตุวันนี้เกิดขึ้น โดยวันนี้เวลา 9.00 น. ชาวเมียวดีมาชุมนุมเรียกร้องให้ปิดการค้าขายทั้งหมดทั้งสะพานและท่าข้ามต่าง ๆ จากไทยและแบนการใช้สินค้าไทยทั้งหมดเพื่อตอบโต้ที่ไทยปฏิบัติการที่ไทยจัดการสแกมเมอร์แต่ชาวบ้านเดือดร้อน

เอย่าได้กล่าวไปแล้วว่าการตัดไฟ ตัดน้ำมัน เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและจะสร้างผลเสียหายต่อไทยโดยเฉพาะการค้าชายแดน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลุกลามเป็นกระแสการแบนสินค้าไทยในเมียนมาด้วย 

การค้าชายแดนที่ผ่านมาหากนับแค่การค้าผ่านด่านการค้าชายแดนก็มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อเดือน โดยหากดูมูลค่าส่งออกเดือนธันวาคม อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาทไม่รวมการส่งออกตามท่าข้ามต่าง ๆ

แม้จนถึงตอนนี้จะมีรายงานว่ามีประชาชนมาชุมนุมยังไม่มากดังที่แผนที่เขาววางไว้ว่าจะมาชุมนุมถึง 3000 คนก็ตามแต่หากความเดือดร้อนนี้ยังคงอยู่ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งอันนำผลมาสู่ปัญหาชายแดนนอกจากเรื่องการค้าแล้ว การลักลอบเข้าเมืองจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งปัญหาเรื่องสาธารณสุขที่จะกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นจะข้ามมารักษาตัวที่ไทย  แล้วใครคือผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ กลุ่มคอลเซนเตอร์หรือคนไทย...?

แก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ไม่ตรงจุด เผย 2 วิธีปราบจากปากนายทหารประสบการณ์สูง

(5 ก.พ.68) ข่าวช่วงนี้คงไม่มีข่าวไหนดังเท่าข่าวตัดไฟเมืองสแกมเมอร์อีกแล้ว  แถมคนเชียร์ก็เชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูด้วย เอาว่าวันนี้เอย่าจะมาเล่าให้ทุกคนได้ทราบกันดีกว่าว่าตัดไฟใครลำบาก และทางแก้ปัญหาที่แท้จริงที่เคยมีนายทหารแก่ๆท่านหนึ่งบอกเอย่าไว้ถึงวิธีจัดการเมืองสแกมเมอร์คือยังไง

ก่อนอื่นทุกคนต้องควรรู้ก่อนว่าเมียนมาซื้อไฟจากไทยใช้โดยส่วนใหญ่ผู้ใช้ไฟคือชาวบ้านตามชายแดนฝั่งเมียนมา  ดังนั้นหากตัดไฟกลุ่มที่ลำบากก่อนเลยคือชาวบ้านตามริมชายแดน  ส่วนคาสิโนนั้นมีบางส่วนดึงไฟที่มาจากไทยมาใช้แต่ฝั่งนั้นทุกคาสิโนมีเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่หลายเครื่องใช้ปั่นไฟในกรณีที่ไฟดับ  ดังนั้นต่อให้ไทยตัดไฟไปเมืองเขาก็ปั่นไฟใช้กันเองอยู่ดี

ประการต่อมาคือต้องเข้าใจว่าการที่เป็นศูนย์สแกมเมอร์ได้  เขาไม่ได้ใช้ไฟแค่ 220 โวลต์เหมือนบ้านเรือนประชาชนนะ  เพราะไหนจะต้องมีไฟเลี้ยงระบบ ตลอด เอาเป็นว่าหากใครเคยขุดบิทคอยน์จะเข้าใจเลย  ว่าใช้ไฟจำนวนมหาศาล  ดังนั้นกลุ่มสแกมเมอร์พวกนี้เลือกจะลักไฟจากไทยโดยการต่อสายไฟตรงข้ามประเทศไปยังฝั่งเมียนมาตามที่เอย่าเคยบอกไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้

สุดท้ายรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ในเมืองสแกมเมอร์เหล่านี้กำลังสร้างโรงไฟฟ้าเองโดยมี โรงไฟฟ้าผลิตจากแก๊ส 2 โรง โรงไฟฟ้าผลิตจากน้ำมัน 1 โรงและโรงไฟฟ้าถ่านหินอีก 1 โรง ไม่นับฟาร์มโซลาร์เซลล์​ที่ขึ้นเป็นดอกเห็ดในฝั่งเมียนมาหากโรงไฟฟ้าเหล่านี้สำเร็จ  เมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งพาไฟจากไทยอีกต่อไป  ดังนั้นถามว่าการตัดไฟยังใช่วิธีแก้ไขไหม..?

นายทหารแก่ท่านหนึ่งที่เอย่ารู้จักเคยเล่าให้เอย่าฟังว่าวิธีปราบกลุ่มสแกมเมอร์ให้ได้ผลชะงักมี 2 วิธีวิธีแรก  คือโมเดลแบบเมืองเล้าก์ก่าย ซึ่งสิ่งที่เอย่าจะเล่าของปฎิบัติการ 1027 นี้ อาจจะต่างไปจากสื่อื่นสักเล็กน้อยตรงที่ ตามที่ข้อมูลที่ท่านลุงทหารเล่ามานั้นปฎิบัติการ 1027 เป็นปฏิบัติการที่ใช้กองกำลังชนกลุ่มน้อย 3 กลุ่มภายใต้การสนับสนุนจากจีนและทางกองทัพเมียนมาก็ไฟเขียวให้เพราะไม่สามารถส่งกองทัพตนเองขึ้นไปจัดการได้ท  ดังนั้นสงครามที่เกิดขึ้นในเล้าก์ก่ายแท้จริงคือสงครามของกลุ่ม BGF ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มจีนเทากับกองกำลัง 3 พี่น้องที่ได้รับการสนับสนุนทั้งอาวุธและเงินทุนจากจีนนั่นเอง คุณลุงกล่าวต่อว่า  ฝั่งไทยน่าจะไม่รับวิธีนี้เพราะใช้เงินทุนมหาศาล

วิธีที่ 2 คือการทำเป็นวาระระหว่างประเทศแล้วให้ไทยประสานกับรัฐบาลเมียนมาในการเข้าไปจัดการกับต้นเหตุของปัญหา

การแก้ปัญหาโดยการตัดไฟ หรือจับเสบียงที่จะขนของไปขายให้กลุ่มจีนเทารวมถึงจัดการกับข้าราชการท้องถิ่นที่รับส่วยคนกลุ่มนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุตราบใดที่ไม่ถล่มรังก็ไม่มีวันยุติปัญหาได้และการแก้ปัญหาแบบปลายเหตุนั้นนอกจากจะกระทบคนเมียนมาทีาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วยังกระทบต่อการค้าชายแดนด้วย นั่นยิ่งทำให้กลุ่มไทยเทาฉวยโอกาสนี้ในการกอบโกยผลประโยชน์ตรงนี่ต่อไปอีก

อีกประเด็นที่น่าคิดคือการตัดไฟจะทำให้ประชาชนและได้รับผลกระทบเนื่องจากปริมาณไฟสำรองของชาติมีมากขึ้นกว่าช่วงที่ขายให้กับพม่า จึงจำเป็นให้ต้องมาคิดค่าไฟส่วนนี้ที่ไม่สามารถขายได้กับคนไทยโดยการขึ้นค่าเอฟพีหรือค่าส่วนต่างต่างๆสรุปแล้วการตัดไฟช่วยใครกันแน่ทำร้ายใครกันแน่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top